พ
ระสิทธะ
ทรมานกายโดยธรรมนี้เกือบตลอดเวลาประมาณ 6 ปี
เท่าที่ทรงท่องเที่ยวไปมาตามที่ต่าง ๆ
โดยทรงดําริว่า
เมื่อทรงกระทําอย่างพอเพียงแล้ว จักได้ตรัสรู้ในตอนสุดท้าย
พระองค์ได้เวียนมาประทับอยู่ในดินแดนของแขวนมะคตอี
นะสถานที่อังเงียบสงัดในดงไม้ไผแห่งหนึ่ง
ใกล้ๆแม่น้ําซึ่งมีน้ําใสเย็นสนิทไหลอยู่เสมอ
มีท่าขึ้นลงโดยสะดวก
มีหมู่บ้านสําหรับพิขาจานได้โดยง่ายและไม่ไกลนัก
พระองค์ทรงพอพระไทยว่า สถานที่นี้เป็นที่เหมาะสมอย่างยิ่งแล้ว
สําหรับนักบวชเช่นเราอยู่อาศัย เพื่อการทําความเพียน
เราจะอยู่อาศัยในสถานที่นี้ละ ดังนี้
พระสิทธะ
ได้ทรงถือเอาสถานที่ซึ่งเรียกว่า ตําบลอุรุเวลา เป็นที่อยู่ประจําของพระ
องค์ ทรงบําเพ้นภาวนาและตบะกรรมอื่นๆ อย่างเคร่งกรัดใต้ต้นไม้ในถิ่นนั้น
โดยทรงแน่พระไทยว่า การทําเช่นนั้น จะกรู้
ซึ่งสิ่งเป็นความจริงอันพระองค์ต้องประสง
ในครั้งนั้น มีผู้เลื่อมใสในการกระทําอย่างเคร่งเครีย
ดของพระองค์จํานวนหนึ่ง ได้พากันมาเฝ้าปรณิบัติพระองค์
คนเหล่านั้นมีจํานวน 5 คนด้วยกัน เรียกว่า ขณะปัญจวักขี่
ได้คอยเฝ้ารับใช้พระองค์ในบางประการ
โดยเขาเหล่านั้นเชื่อว่า ผู้ที่บําเพ็ญตบะกรรมอย่างกล้า เช่นพระสิทธธะนี้
ต้องไม่ใช่คนธรรมดา
เขาเชื่ออย่างแน่นอนว่า นักบวชผู้มีความอดทนและเสียสละเช่นนี้
ต้องประสบผลสําเร็จในสิ่งที่ต้องประสงโดยแน่นอน
และเมื่อประสบผลสําเร็จแล้ว จากสั่งสอนสิ่
งซึ่งได้รู้นั้น แก่ผู้เป็นศิษย์ทั้งหลาย
วันหนึ่ง
เหตุการณ์ได้บังเอิญเป็นจนถึงกับว่า เมื่อพระสิ
ทธธะประทับนั่งอยู่แต่ผู้เดียวใต้ต้นไม้แห่งหนึ่ง
มีร่างกายอ่อนเพลียเพราะการอดอาหารและการทรมาน นั่งบําเพ็ญพบนานานเกินไป
พระองค์ได้ล้มลงนอนสลบแน่นิ่งอยู่นะพื้นดินไม่ไหวดิ่ง
หมดกําลังจนถึงกับไม่สามารถจะฝืนคืนชีวิตได้โดยลําพังพระองค์เอง
แต่เป็นโชคดี
ที่เด็กเลี้ยงแก่แพะในถิ่นนั้นคนหนึ่ง ได้บ
ังเอิญเดินมาพบพระองค์บันทมสลบอยู่ในที่นั้น
และดาวเอาว่า พระองค์กําลังจะสิ้นชีวิตเพราะการอดอาหาร
โดยที่คนทั้งหลายในถิ่นนั้น
รู้กันอยู่ทั่วไปว่า
พระอริยเจ้าผู้นี้ได้เว้นจากอาหารมาหลายวันแล้ว
ดังนั้นเด็กเลี้ยงแพะคนนั้นได้วิ่งไปที่ฝูงแพะของตน
นําแพะนมตัวหนึ่งมาสู่ที่พระองค์ล้มสลบอยู่
ได้รีดนมแพะให้ตกจากเต่านมโดยตรง
หยดลงตรงพระโอทของพระองค์ ซึ่งพยะอยู่เล็กน้อย
เพราะเขาไม่กล้าแต่ต้องเนื้อตัวของผู้ที่ใครๆถือกันว่
า เป็นพระอริยเจ้า โดยเหตุที่เขาเป็นเพียงเด็กเลี้ยงแพะ
ในเวลาไม่นานนัก
นําหนุ่มนั้นก็ได้แสดงผลตามหน้าที่ของมันแก่พระสิทธัส
ซึ่งอยู่ในลักษณะมีชีวิตเหลืออยู่เพียงนิดเดียวในขณะนั้น
ต่อมาอีกครู่หนึ่ง พระองค์สงสามารถลุกนั่ง
และรู้สึกมีความสบายขึ้นกว่าเวลาที่แล้วมา
พระองค์เริ่มรู้สึกว่า พระเหตุใด
จึงได้สงสลบไป
และพระเหตุใดในบัตรนี้
จึงมีความรู้สึกสดชื่นทั้งกายและใจขึ้นมาได้
พระองค์สงระลึกได้เป็นลําดับๆดังต่อไปนี้
โธ่เอ้ย!
เราโง่มาเสียแล้วอย่างมากมาย
เราได้สละพัญญาและครอบครัว
สละย่าวเรือนและทุกๆสิ่ง
เราออกบวชเป็นนักบวชร้ายบ้านเรือน เพราะประสงจรู้สัจจธรรม
อันเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์เรา
และให้รู้วิธีที่จะต้องปฏิบัติเพื่อลุผลอันเกี่ยวกับชีวิตให้ดีที่สุด
แต่ในการที่จะให้ได้รับความรู้อันลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้เช่นนี้
เราควรจะมีสมองและจิตใจที่เข้มแข็งให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เพื่อเราจะสามารถคิด
และจะเริ่มพัญญาอย่างแนวแน่และเข้มแข็ง
แต่นายที่สุดเรากลับไปทําให้ร่างกายเนี่ยอ่อนเพลียทุกพละภ
าพบัยด้วยการอดอาหารและด้วยการปฎิบัติอย่างติงครียดอื่น ๆ
ดังที่เราปุติบัติมาแล้ว
คนเราจักมีจิตใจอันเข็มแข็งสดชื่นในร่างกายท
ี่อ่อนเผลีย ระสําระสายไร้สุขภาพได้ยังไรกัน?
พุทธโทเหย่ย เราโง่อย่างเหลือเกิด ที่ได้ไปทรมานตัวเองให้อ่อน
เพลีย ในขณะที่ต้องการกําลังที่เราอาจจะมีได้ ในการปฏิบัติกิจอ
ันสูงสุด ซึ่งเราได้เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างออกมา เพื่อปฏิบัติ
ตอนนี้ไป
เราจะบริโภคอาหารทุกชนิดตามที่ร่างกายนี้ต้องการ
เพื่อกลับคืนไปสู่ปรกติภาพ
เราจะไม่บริโภคมากเกินควร เพราะจะทําให้มืนชาและง่ว
งสึ่ง ซึ่งจะทําให้เราไม่สามารถบําเพ็นพวนาได้พอเหมาะ
เราจะบริโภคแต่เพราะให้เกิดกําลังกายที่
เหมาะสม เพื่อว่าเราจะมีจิตใจอันใสกระจาก
ซึ่งในที่สุด เราอาจจะได้รู้สัจทรธธรรมที่เราประสงดันนี้
เมื่อสงดําริเช่นนั้น
พระองค์ได้ส่งเหลียวไปทางเด็กเลี้ยงแพะ
ซึ่งบัดนี้กําลังคุกเขาอยู่ข้างๆ พระองค์ และ
ตรัสขอให้เขานํานมแพะมาให้แก่พระองค์อีกชามนึง
เพราะปรากฏว่าการบริโภคนมนั้น เป็นผลดีแก่พระองค์มาก
เด็กเลี้ยงแพะได้ตอบว่า
ทาตรหรือตระกูล
เราขอแต่นม
มันไม่มีความแตกต่างอย่างแท้จริงอะไรกันเลยในระหว่างเราทั้งสอง
แม้ว่าเธอเป็นเด็กเลี้ยงแพะ และเราเป็นรื่สี
ในสายเลือดของเราทั้งสอง
ต่างก็มีเลือดไหลอยู่อย่างเดียวกัน
ถ้ามีโจรเอาดาบมาตัดร่างกาย ของเราทั้งสอง
เลือดก็จะไหลออกมาเป็นสีแดงอย่างเดียวก
ัน และหากเลือดไหลออกมาอย่างไม่รู้หยุด
เราก็จะต้องตายอย่างเดียวกัน
ถ้าทําดี ก็เป็นคนดีและประเศษ
ถ้าทําเลว ก็เป็นคนเลวและไม่ประเศษ นั่นแหละคือ ชาติและตระกูลอันแท้จริง
เธอได้ทําในสิ่งที่ดี โดยการให้นมแก่ฉันในข
ณะที่กําลังร่อแร้จวนจะขาดใจตายเพราะอดอาหาร
เพราะฉะนั้นเธอจึงเป็นผู้ที่มีชาติตระกูลดีพอแล้ว
สําหรับจะให้นมแก่ฉันสักชามหนึ่ง
เด็กเลี้ยงแพะคนนั้น ดีใจจนบอกไม่ถูก ในถ้อยคําอั
นแปลประหลาดและน่าชุ่มชื่นใจของพระมหารศีฉันพิเศษ
เขาเป็นผู้ที่มีชาติและตระกูลดีอย่าง
เพียงพอ สําหรับการที่ถวายนมแก่พระองค์
เขาได้รับชามเปล่ากลับ
และได้ก่มสีสะนมศกาลขอบพร
แล้วก็วิ่งกลับไปสู่ฝูงแพะของตน ใดความสุขใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เมื่อพระสิทธักษ์กลับมีพระกําลังอย่างเดิมโดยการเสวยนมเช่นนี้แล้ว
ได้ประทับที่โค้นต้นไม้
จะเริ่นพวนาต่อไป
เป็นผลดีกว่าที่แล้วมา
เมื่อพระองค์ได้ประทับนั่งอยู่นะที่นั้น
พอตวันตกลับขอบฟ้าไป
ได้ส่งสดับเสียงเพลงของหญิงนักร้องหม
ู่หนึ่ง ซึ่งเป็นนักร้องและนักระบําอาชีพ
เดินผ่านมาทางนั้น เพื่อเข้าไปประกอบอาชีพในเมือง
และเมื่อหญิงเหล่านั้นผ่านมาใกล้พระองค์ ก็พอดีกับ
ที่หญิงเหล่านั้นได้ร้องเพลงขึ้น อันมีเนื้อความว่า
เมื่อสายพินของเราหย่อนเกินไป
ย่อมส่งเสียงไม่น่าฟัง
และเมื่อตึงเกินไปก็ขาด
และไม่อาจดังได้อีก
เพราะฉะนั้น เพื่อผลอันดีที่สุด ใครๆ จึ
งไม่ควรขึ้นสายพินให้หย่อนหรือตึงเกินไป
แต่ควรขึ้นให้พอเหมาะ มักจากส่งเสียงอันภัยร้อ โดยแท้จิต ดังนี้
เมื่อพระองค์ได้ส่งสดับบทเพลงของหญิงเหล่านั้น
ก็ส่งรู้สึกขึ้นในพระไทยว่า
บทเพลงของหญิงเหล่านี้ช่างถูกแท้
หญิงเหล่านี้สอนอะไรๆ ให้แก่เรามากทีเดียว
ทีแล้วมา
เราขึ้นสายพินแห่งชีวิตของเราตึงเกินไปอย่างน่าสั่งเวช
มันตึงเกิน จนจวนจะขาดลงอย่างไม่มีเหลือ
ถ้านี้วันนี้
ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเด็กเลี้ยงแพ้นั้นแล้ว
liśmyมะกบดถอด eve
ryあerei kingdom
แล้วอะไรเล่า
ที่เป็นผลแห่งการเสวงหาสัจธรรมของเราทั้งที
เรื่องก็จบลงที่นี่และบัดนี้
แล้วสิ่งซึ่งฉันและมนุษย์ทั้งหลาย
พึงได้รับจากการสแวงหาของฉัน ก็พลอยลมเหลวลงไปอย่างน่าเศร้า
เพราะความเข้าใจผิดในเรื่องอาหารนี้นิดเดียว
วิธีปฏิบัติอย่างทารุนต่อร่างกายเช่นนี้
ไม่ใช่วิธีอันถูกต้องสําหรับการค้นหาสัจธรรมเลย
จําเดิมแต่นี้ไป
ฉันจักเลิกปฏิบัติต่อร่างกายอย่างทารุนเสียโดยเด็ดขาด
แต่จะปฏิบัติอย่างเอาใจใส่ระบัดระวังให้เหมาะสมที่สุด ที่จะพึงกระทําได้
ต่อจากนั้น พระสิทธะ
ได้ส่งออกบินธบาททุกเวลาเช้า
ส่งบริโภคอาหารตามแต่จะได้มาทุกๆ วัน
พระองค์กลับมีพระกําลังอย่างเดิม
มีพระชวีวันผุดพองเป็นสีทอง
ดุดเดียวกับเมื่อยังประทับอยู่ในพระราชวางของพระองค์ในการกอด
แม้พระองค์จะได้ส่งมองเห็นอย่างชัดแจ้งว่า การทรมานกายอย่างเคร่ง
เครียดของพระองค์นั้น มีผลธํานองเดียวกับการพยายามผูกอากาศให้เป็นปม
หรือเช่นเดียวกับการนําสายมาฟันให้เป
็นเชือก โดยไม่มีผิดกันเลยดังนี้ก็ตาม
ส่วนบุรุษห้าคนไม่ได้มีความคิดหรือรู้สึกเช่นเดียวกับพระองค์แต่อย่างไร
คนทั้งห้านั้นยังมีความยึดถือเช่นเดียวกับคนอื่นๆอยู่นั่นเองว่า
วิธีที่จะตรัสรู้ทําในศาสนานั้น ต้องสําเร็จ
มาแต่การทรมานร่างกายแต่วิธีเดียวเท่านั้น
เมื่อคนทั้งห้านั้นเห็นว่า บุคคลซึ่งตนเคยยกย่องเป็นอา
จารย์ ได้เลิกละการอดอาหารและการทรมานกายโดยวิธีต่าง ๆ
มาบริโภคอาหารบํารุงร่างกายตามปรกติธรรมดาเช่นนี้
ก็พากันกล่าวแก่กันและกันว่า
อ่า...
พระสมณะโคดมสะกยบุตรผู้นี้กลายเป็นคนมากๆ ไปเสียแล้ว
เลิกละการต่อสู้และความพากเพียร
กลับไปสู่ชีวิตแห่งความบันเทิงเรื่องรื่นเสียแล้ว
ดังนี้
คนทั้งห้าได้พากันละทิ้งพระองค์ เพราะแน่ใจเสียแลว่า ไม
่มีประโยชน์อันใดในการที่จะอยู่อาศัยกับอาจารย์ผู้เลิ
กละความเพียรโดยประการต่าง ๆ คือการทรมานกายเสียเช่นนี้
คนทั้งห้า
เชื่ออย่างแน่นแฟนว่า นักบวชที่ไม่ทรมานกายนั้นย่อ
มไม่มีทางที่จะตรัสรู้ ธรรมอันสูงสุดในทางศาสนาเลย
คนทั้งห้านี้ได้มีความหลงผิดเพียงไร
ได้ปฏิบัติอย่างเคลาวที่สุดเพียงไร
ได้พรากฏเป็นความจริงออกมาในเวลาอันไม่นานเลย
บัตรนี้อาจารย์ของเขา ซึ่งที่แท้ หาได้หม
ุนไปจากทางแห่งสัจทรรม แต่ประการใดนั้นไม่
ได้เป็นผู้ซึ่งกําลังก้าวมาถึงจุดแห่งความสําเร็จ
ในการที่จะบรรลุสิ่งซึ่งพระองค์ส่งประสงค์อย่างแน่นอนแล้ว
Đang Cập Nhật
Đang Cập Nhật
Đang Cập Nhật