ตอนที่ ๘
ความพยายามก่อนตรัสรู้
ในประเทศอินเดียสมัยนั้น ก็มีศาสดาผู้สอนลัฐธิต่าง ๆ ในทางศาสนา
ให้แก่ศิษฐ์ของตนของตนมากมายหลายลัฐธิ
หลายสํานัก เช่นเดียวกับในสมัยนี้.
ในบรรดาเจ้าลัฐธิเหล่านี้
มีศาสดาคนหนึ่ง มีนามว่า อาราระกาลามะ
พระศิษฐธะได้เสด็จไปสํานักของศาสดาผู้นี้
เพื่อศึกษาในลัฐธิของท่าน
พระองค์ได้ส่งศึกษาอยู่กับท่านอาราระกาลามะด้วยความภาพเพียรพยายาม
จนสามารถเรียนรู้
และกระทําได้ทุกๆ อย่าง
เหมือนดังที่อาจารย์รู้และกระทําได้
ท่านอาราละกาลามะ
มีความพอใจในพระองค์และในความสามารถของพระองค儿
женถึงวันหนึ่ง
ได้กล่าวกับพระองค์ว่า บัดนี้
ท่านรู้ทุกๆสิ่งที่ขับเจ้ารู้
ท่านสามารถสั่งสอนลัฐธินี้ได้ เช่นเดียวกับที่ขับเจ้าสอน
ท่านเห็นอย่างไร
ข้าพระเจ้าเห็นอย่างนั้น
ในระหว่างเราทั้งสอง
ไม่มีความแต่ต่างกันเลย
จงอยู่ที่นี่ด้วยกัน ช่วยกันสั่งสอนสิทธิ์สืบไปเถิด
พระองค์ได้ตรัสถามว่า ท่านอาจารย์ ไม่
มีสิ่งใดที่สอนข้าพระเจ้าใดอีกแล้วหรือ
ท่านอาจารย์ไม่สามารถสอนวิธีที่จะทําให้มีอํานาจเหนือความเป็นอยู่
ความเจ็บไข้ และความตายเสียแล้วหรือ
ท่านอาจารย์ ได้ตอบว่า ไม่มีเลย
ข้าพระเจ้าไม่สาบวิธีการทําให้อยู่เนื้ออํานาจของความเป็นอยู่ และความตาย
แล้วจะสามารถสอนท่านได้อย่างไรกัน
ข้าพระเจ้าไม่เชื่อว่ามีผู้ใดในโลกนี้ มีความรู้ในข้อนั้น
ท่านอาราละกาลามา
มีความรู้เท่าที่ท่านได้สอนพระสิทธักษ์ไปจนสิ้นเชิงแล้ว
คือวิธีกระทํากิจให้ขึ้นถึง
ขั้นที่สงบเงียบ จนไม่มีความรู้สึกว่ามีสิ่งใดๆอยู่ในโลกนี้
หรือโลกไหน
แล้วมีความพอใจอยู่ในความสงบอันนั้น
แต่นี่
หาใช่เป็นวิธีที่จะช่วยมนุษย์ให้ผลไปจากที่ต้องวนเว
ียนอยู่ในความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตายได้ไหม
ยังจะต้องวนเวียนอยู่ในความทุกเหล่านี้ต่อไป
ไม่มีที่สิ้นสุด
ดังนั้น พระสิทธะ
จึงไม่ส่งพอพระไทยในลัฐฐินี้
ได้เสด็จท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ เพื่อส่งส่อแสวงหาบุคคลที่สามารถสอน
ให้พระองค์ ได้ทราบสิ่งที่สูงยิ่งไปกว่าที่ท่านอารละกาลามะได้สอนสืบไป
ในลําดับต่อมา
พระองค์ได้ทราบขาว่าจ้าวละทิชื่ออุทธกรรมบุตรว่า
เป็นผู้มีความรู้และคุณวิเศษในทางจิตอันสูงยิ่ง
พระองค์ได้เสด็จไปสู่สํานักของท่านอุทธุกรรมบุตรผู้นี้
และได้เข้าเป็นศิษย์ศึกษาและปฏิบัติด้วยความภาพเพียงอย่างแรงกล้า
จนกระทั่งมีความรู้และความสามารถในการกระ
ทําเช่นเดียวกับอาจารย์ของพระองค์ในที่สุด
ท่านอุทธกรรมบุตรก็เช่นเดียวกับท่านอาราละการามะ
คือมีความพอใจในความเฉลิวฉลาด
และความสามารถของพระสิทธธะอย่างแรง
จนถึงกับออกปากชักชวนให้อยู่ช่วยกันสั่งสอนสิทธิ์ร่วมกันสืบไป
พระสิทธธะได้ส่งย้อนถามท่านอุทธกรรมบุตร
เช่นเดียวกับที่ได้ส่งถามท่านอาราละการามะ
และก็ได้รับคําตอบอย่างเดียวกัน
พระสิทธธะ
ไม่ส่งพอพระไทยในลัฐฐิ
ซึ่งสอนให้ได้ผลอย่างสูงเพียงแต่ทํากิจให้มีความสงบ
ถึงขนาดที่ไม่มีความรู้สึกต่อสิ่งทั้งปวง
จนถึงกับจะเรียกว่
า มีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่ ตายแล้วก็ไม่ใช่ของท่านอาจารย์ผู้นี้
จึงได้ส่งลาจากสํานักนั้นไป
และส่งตั้งพระไทยว่า
จะเลิกการส่อเสวงหาวิชาความรู้จาสํานักเจ้าลัฐฐิต่าง ๆ
แต่จากส่งหาเอาตามลําพังสติปัญญา
และความเพียงของพระองค์เอง
ในประเทศอินเดียในสมัยนั้น
ก็เหมือนกับประเทศอินเดียในสมัยนี้
ในการที่มีนักบวชจํานวนมาก
สละบ้านเรื่อนออกไปบวช
โดยพากันคิดว่า ในการอดอาหารและการทรมานกายโดยวิธีต่
าง ๆ นั้น จะทําให้ตนได้รับความสุขในเทวโลกตลอดกาลานาน
เค้าแล้วนั้นเชื่อว่า เมื่อได้รับความทุกข์ในโลกนี้มามากเพียงใด
ก็ยิ่งมีความสุขในโลกหน้ามากขึ้นเพียงนั้น
เค้าเหล่านั้น มีความเชื่อเช่นนี้
และปฏิบัติสื่อบๆตามกันมา อย่างเคร่งครัด จนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ผู้บําเพ็ญพรดเหล่านั้น บางพวกได้ลดจําวนอาหารที่ตนบริโภคลง
วันละเล็ก วันละน้อย ทุกวัน
จนกระทั่งแทบไม่บริโภคอะไรเลย
มีร่างกายเหลือแต่หนังหุ่มกระดูก
บางพวก
ปฏิบัติวิธีการยืนด้วยขาข้างเดียว จนขาข้างหนึ่งรีบตายไป
บางพวก
ยกมือข้างหนึ่ง ชี้ไปบนอากาศตลอดเวลา จนกระทั่งแขนรีบตายไป
เพราะไม่มีโลหิตขึ้นไปหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ
บางพวก กํามือแน่นเสมอตลอดเวลาไม่ยอมคลาย
จนกระทั่งเล็บมืองอก ทะลุฝ่ามือโพล่ไปทางหลังมือ
บางพวก นอนบนน้ํา หรือบนแผ่นกระดาน
ซึ่งเต็มไปด้วยเล็กแหลม
ที่ปลายตั้งชั้นขึ้นข้างบน ดังนี้เป็นต้น
พระสิทธาท่า
ได้ทรงกระทําการทรมานพระองค์โดยวิธีต่าง ๆ
โดยทรงหวังว่าจากได้พบสิ่งซึ่งพระองค์ทรงประสง
โดยไม่ทรงคําหนึ่งถึงความเจ็บปวดอันจะเกิดขึ้น แม้จะมากมายเพียงใด
เมื่อพระองค์ไม่ได้ทรงประสบผลดีไปกว่าคนเหล่านั้น
พระองค์ทรงดําริสืบไปว่า
หากได้พระพุทธตบทรมานร่างกายให้มากขึ้นจนเพียงพอแล้ว
คงจะประสบความรู้ที่พระองค์ทรงประสงโดยแน่นอน
ข้อความต่อไปนี้ เป็นการกล่าวถึงการกระทําของพระองค์
ในครั้งนั้น ซึ่งพระองค์ทรงดํามาตรัสเล่าแก่พระมหาเทร
ชชื่อ สาริบุทร ผู้เป็นอัครสาวกของพระองค์ในภายหลัง
ดูกรสาริบุทร เราได้ประพฤติการกลั่นลมหายใจ
จนกระทั่งเกิดเสียงบลือลั่นขึ้นในหูของเรา
และมีความเจ็บปวดขึ้นในสีสะรากว่า
ถูกแท้งด้วยดาบหรือถูกหวดบนสีสะด้วยแสหนัง
ตามเนื้อตามตัวนั้นเล่า
รู้สึกเจ็บ
เหมือนคนเอามีดคมมาและเนื้อเถือนังเราทั่วตัว
เราเหมือนกับถูกจับโยนลงไปในกลุ่มทานเพลิง
ดูกรสารีบุตรต่อมา
เราได้ประพฤติในความเป็นอยู่โดดเดียว
กลางคืนระหว่างวันดับและวันเพ่น
เราได้เที่ยวไปผู้เดียวในที่เปลี่ยว อันเป็นที่ฝังสบ
ตามระหว่างต้นไม้ใหญ่ ๆ
เราอยู่ที่นั่นตลอดคืน
มีขนลุกชันไปทั้งตัว
ทุกคราวที่ใบไม้หล่นลงมา
เพราะลมพัด
หรือนกบินมาจับต้นไม้ หรือเมื่อกวางหรือสัตว์อื่นวิ่งผ่านมา
เราก็กลัวจนตัวสั่น
เพราะไม่รู้ว่าในความมืดนั้นมีอะไร
แต่เราไม่วิ่งหนี
เราได้บังคับตัวเราให้ทนอยู่ที่นั่น
ให้พชนกับความกลัว และความสดุ้งที่เราได้รับจนกระทั่งเราชนะความกลัวนั้น
ดูกอน สา รี บุตร
เราบริโภคอาหารวันหนึ่งเพียงครั้งเดียว แล้วบริโภคสองวันต่อครั้งหนึ่ง
แล้วสามวันต่อครั้งหนึ่ง ดันนี้เป็นลําดับ
จนกระทั่งสิบห้าวัน
จิ่งบริโภคอาหารครั้งหนึ่ง
บางคราวเราบริโภคแต่ย่า
บางคราวบริโภคแต่รากย่าแห้ก
บางคราวบริโภคแต่ผลไม้ป่า รากไม้ ผักป่า เห็
ด มะเล็ดย่าป่า และมีบางคราวบริโภคสิ่งต่าง ๆ
เท่าที่จะกว้ามาได้จากพื้นดินรอบรอบตัวตรงที่เรานั่งนั้น
เราปกปิดร่างกายของเราด้วยเสดพ่าที่เขาทิ้งตามป่าจ้าง
หรือก้องเขย่ามูลเฝ่
บางคราวปกปิดร่าคายด้วยหนังสัตว์ที่ตายเองตามทุนะ
บางคราวก้ปิดด้วยแผ่นยาทักด้วย пожалуйста creation ในที่นั้น ๆ
ดูกรสาริบุตร
เราอยู่ผู้เดียวในป่าเปลี่ยว
ไม่พบเห็นมนุษย์เป็นเดือน ๆ
ในฤดูหนาวในเวลาดึกหนาวจัด
เราออกมาอยู่เสียกลางที่แจ้ง
ไม่ผิงไฟ
ถึงเวลากลางวันมีแสงแดด
เราหมกตัวอยู่ในป่าไม้ที่ยือกเย็น
ครั้นถึงฤดูร้อน เวลากลางวันที่ร้อนเปรี้ยง
เรานั่งอยู่กลางแดดตลอดวัน
ครั้นถึงเวลากลางคืน
เราอยู่ในพุมไม้ที่รกถึบ
ดูก่อนสารีบุตร เราได้ประพฤติวิธีที่
เรียกกันว่า ทําความบริสุทธิ์ด้วยอาหาร
เราไม่บริโภคอะไรเลย
นอกจากถั่ว
ครั้นถึงสมายอื่น
เราไม่บริโภคอะไรเลย
นอกจากมะ Loy็ดพันภะกาติ
ครั้นถึงสมายอู่นอีก
ไม่บริโภคอะไรเลย
นอกจากข้าว และเราลดป capacities ลงทุกวัน
จนกระทั่งเหลือวันนึง
บริโภคถั่วเพียงเม็ดนึง
และมะล็ดพันภะกาติเม็ดนึง
หรือข้าวมะล็ด
ดูกรสาริบุตร
เมื่อเราบริโภคอาหารน้อยเช่นนี้
ร่างกายของเราก็ผอมและอ่อนระทวยอย่างน่ากลัว
ขาของเรามีลักษณะอย่างต้นออก
แต่โภคที่นั่งทัพของเรามีสันฐานดังเท้าอูด
เกรดูกสันหลังของเราโปรนขึ้น เหมือนเส้นเชือก
สีข้างของเรา
มีซื้อrozeโครงโภคขึ้นเป็นสีๆ เหมือนกรรเรือนที่ถูกทิ้งร้าง
เหมือนกรรเรือนที่ถูกทิ้งราง
ตาของเราลึกอยู่ในเบาตา
เหมือนดวงดาวที่ประกดอยู่ในก้นบออันลึก
หนังสิสะของเราเหียวย้นเหมือนน้ําเต้าอ่อนตัดทิ้งไว้กลางแดด
เมื่อเราลูบแขนหรือลูบขาของเราได้ฝ่ามือเพื่อให้เกิดความสบายบ้าง
ขนก็หลุดขึ้นทั้งรากติดไปกับฝ่ามือที่ลูบนั้น
ดูกรสารีบุตร แม้เราได้รับความทุกอันแสบเผ็ดเห็นปานี้
เราก็ยังไม่ได้รับความรู้ที่เราปราธนา
เพราะความรู้แจ้งเห็นจริงนั้น ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการประพฤติเช่นนั้น
ตรงกันข้าม
อาจจะเกิดจากการพินิทพิจารณาในภายหลัง
และการสละเสียซึ่งการประพฤติอย่างชาวโลกทั้งปวงตรงนี้